Author name: The SciClinist

Uncategorized

ชอบนอนเปลือย ช่วยฟื้นฟูลึกขึ้น ?

งานวิจัยล่าสุดบอกว่า… สิ่งที่คุณ “ไม่ใส่” ขณะนอน อาจสำคัญพอ ๆ กับชั่วโมงที่คุณนอนเลยทีเดียว การนอนโดยไม่ใส่เสื้อผ้า ช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวลึกกว่าเดิม ด้วยกลไกธรรมชาติที่ไม่ต้องพึ่งยา ไม่ต้องพึ่งวิตามินเสริม ผลลัพธ์ที่ได้จากแค่นอนเปลือย: •  ควบคุมอุณหภูมิร่างกายดีขึ้น (หลับลึกขึ้นแบบธรรมชาติ)•  หลับลึก มีคุณภาพ สมองเคลียร์ รีเซ็ตระบบ•  กระตุ้นการหลั่งโกรทฮอร์โมน + เมลาโทนิน ฮอร์โมนสำคัญที่ช่วยซ่อมแซมร่างกาย + เบิร์นไขมัน•  ลดคอร์ติซอล (ฮอร์โมนเครียด) ให้นอนแบบสงบ ลึก และจริง•  เร่งระบบเผาผลาญ + ปรับความไวต่ออินซูลิน ซึ่งสัมพันธ์กับการควบคุมน้ำหนัก แค่ปล่อยให้ผิวสัมผัสอากาศเย็นๆ ตอนกลางคืนร่างกายจะเข้าสู่โหมดฟื้นฟูได้เร็วและลึกกว่าเดิม ไม่ใช่เคล็ดลับวิเศษแต่คือ “นิสัยเล็กๆ ที่มีหลักฐานวิทยาศาสตร์รองรับ”ใครอยากให้ ฮอร์โมนดี ระบบเผาผลาญแรง อารมณ์นิ่ง ลองเริ่มคืนนี้เลยก็ยังทัน

Uncategorized

สมองคนเรายังสร้างเซลล์ใหม่ได้ แม้อายุจะมากแค่ไหนก็ตาม

งานวิจัยล่าสุดยืนยัน: ประสาทใหม่ได้” แม้ในวัยชรานักวิทยาศาสตร์พบเซลล์ต้นกำเนิดประสาทในสมองจริง ไม่ใช่แค่คาดการณ์ จุดเปลี่ยนวงการประสาทวิทยา: ทีมวิจัยจาก Karolinska Institutet ประเทศสวีเดน ตีพิมพ์งานวิจัยใน Science ยืนยันว่าสมองมนุษย์ยังสร้าง เซลล์ประสาทใหม่ (neurogenesis) ได้ตลอดชีวิตแม้จะอายุเกือบ 80 ปีแล้วก็ตาม บริเวณที่พบ:“ฮิปโปแคมปัส (hippocampus)” ซึ่งเป็นศูนย์ความจำ การเรียนรู้ และการควบคุมอารมณ์โดยเฉพาะจุดสำคัญที่เรียกว่า dentate gyrus เทคนิควิจัยระดับสูง: นักวิจัยใช้การวิเคราะห์ระดับเซลล์เดี่ยว (single-nucleus RNA sequencing)ร่วมกับ flow cytometry, RNAscope และ Xeniumเพื่อตรวจสอบเนื้อเยื่อสมองของคนตั้งแต่ อายุ 0 ถึง 78 ปี จากหลาย biobank ทั่วโลก ผลลัพธ์ชี้ชัดว่าพบ เซลล์ต้นกำเนิดประสาท (neural progenitor cells) ที่ยังสามารถแบ่งตัวได้ตรวจเจอ เซลล์ในระยะก่อนเป็นเซลล์ประสาท หลายช่วงหลายเซลล์ยังอยู่ใน “ระยะเตรียมแบ่งตัว” แสดงว่ายังทำงานอยู่ สมองยัง “เปลี่ยนแปลงและซ่อมแซมตัวเอง” ได้นักวิจัยยืนยันว่า neurogenesis ในสมองผู้ใหญ่ ไม่ได้หมดไป ตามที่เคยเข้าใจแต่ ยังคงเกิดขึ้นจริง และสามารถกระตุ้นได้ในอนาคต “นี่คือชิ้นส่วนสำคัญของพัซเซิลที่จะพาเราไปเข้าใจสมองมนุษย์อย่างแท้จริงและเปิดทางสู่การพัฒนาการรักษาโรคสมองเสื่อม หรือโรคทางจิตเวชแบบใหม่ได้”Jonas Frisén, หัวหน้าทีมวิจัย ประโยชน์ในอนาคต: อาจใช้ต่อยอดสร้าง การรักษากระตุ้นการสร้างเซลล์สมองในโรคอัลไซเมอร์อธิบายความแตกต่างรายบุคคลในการฟื้นตัวหลังบาดเจ็บสมองปูทางสู่ “การซ่อมแซมสมองจากภายใน” ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งการปลูกถ่ายเซลล์

Uncategorized

“กินชีสทุกวัน” อาจไม่ใช่ปัญหา… ถ้าคุณรู้ว่าต้องเลือกแบบไหน และกินอย่างไร

ประโยชน์หลัก ๆ ที่ชีสให้คุณ โปรตีนคุณภาพสูง: โปรตีนคุณภาพสูง:ให้กรดอะมิโนจำเป็นครบถ้วน (โดยเฉพาะเคซีน)ตัวอย่าง: พาร์เมซาน 10g / ชีสสวิส 7.7g / เชดดาร์ 6.5g ต่อ 1 oz แคลเซียมสูง เสริมกระดูก:ชีสแข็งอย่างพาร์เมซานสูงถึง 260 mg ต่อ 1 ozตอบโจทย์คนที่ต้องการบำรุงกระดูก โปรไบโอติก (จุลินทรีย์ดี):พบในชีสหมักที่ไม่ผ่านพาสเจอไรซ์ เช่น เชดดาร์ กูด้าช่วยสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ เสริมภูมิคุ้มกัน แต่ก็มีข้อควรระวัง โซเดียมสูง:ส่งผลต่อความดันโลหิตเลือกชีสที่โซเดียมต่ำ เช่น มอสซาเรลล่า ริคอตต้า หรือชีสนมแพะ พลังงานสูง:ชีสแข็งมักมีแคลอรีมากกว่า 110 kcal ต่อ 1 ozถ้ากินเพลินแบบไม่รู้ตัว น้ำหนักอาจพุ่งได้ง่าย ปัญหาเมื่อคุณแพ้น้ำตาลแลคโตส:อาจทำให้จุกเสียด แสบท้อง กรดไหลย้อนแต่ชีสบางชนิดอย่างพาร์เมซาน เชดดาร์ มีแลคโตสน้อยตามธรรมชาติ ไขมันอิ่มตัว:ชีสบางชนิดมีไขมันอิ่มตัวสูง เพิ่ม LDL (ไขมันเลว)หลีกเลี่ยงหากคุณมีปัญหาไขมันในเลือดหรือโรคหัวใจ ทางเลือก: คอทเทจชีส ริคอตต้า มอสซาเรลล่าแบบไขมันต่ำ ชีส = อาหารบำรุงหัวใจได้ (ถ้าเลือกถูก) งานวิจัยปี 2023 พบว่า การกินชีสวันละ 1.5 oz อาจลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ ชีสบางชนิดมีกรดไขมัน CLA ซึ่งอาจดีต่อหัวใจ แต่ยังเป็นเรื่องที่นักวิจัยถกเถียงอยู่ เพราะ CLA อาจมีผลข้างเคียงในบางกลุ่ม วิธีเลือกชีสให้สุขภาพดี อ่านฉลากก่อนเลือก: ดูโซเดียม ไขมัน และแคลอรี กินชีสแต่น้อย ให้ได้รสชาติ แต่ไม่เกินพอดี ใช้ชีสขูดละเอียดช่วยให้กินได้น้อยแต่ยังอร่อย อย่าลืม: สมดุลอาหารสำคัญที่สุด ผัก ธัญพืช ผลไม้ โปรตีนดี และชีส = Diet สมบูรณ์

Uncategorized

CRISTIANO RONALDO นักฟุตบอลระดับโลก วินัยโหดระดับปีศาจ

“มนุษย์ทั่วไปไม่มีวันทำได้” ถ้าคุณยังตื่นสาย กินมั่ว นอนไม่เป็นเวลา แล้วฝันอยากหุ่นดีแบบโรนัลโด้… หยุดเลยครับ เพราะนี่คือชีวิตจริงของเขา ไม่ใช่ภาพในโฆษณาชีวิตที่ไม่มีคำว่า “เดี๋ยวก่อน” หรือ “พรุ่งนี้ค่อยเริ่ม”ชีวิตที่ถูกออกแบบให้ทุกวินาที = ประสิทธิภาพสูงสุด 1: โรนัลโด้ไม่ได้มีแค่หุ่นดี… เขาคือ “เครื่องจักรที่มีจิตวิญญาณ” ทุกเช้า เขาตื่นมาแบบไม่มีข้อแม้ ไม่ว่าจะดึกหรือเหนื่อยแค่ไหน เป้าหมายของเขาคือ “เป็นเวอร์ชันที่ดีกว่าเมื่อวาน” ทุกวัน ไม่มีวันไหนที่ร่างกายได้หยุด เพราะเขาไม่ให้จิตใจมีโอกาสขี้เกียจ 2: เขานอนวันละ 5 รอบ รอบละ 90 นาที ไม่ใช่นอนทีเดียวจบ 7 ชั่วโมงแต่เป็นการ “สลับร่าง” ทุก 90 นาที เพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูระดับนักบินอวกาศนี่คือระบบ “Polyphasic Sleep” ที่ใช้ได้เฉพาะคนที่มีวินัยโหดจริงเท่านั้น 3: อาหารของโรนัลโด้ = พลังงาน ไม่ใช่ความอยาก กินวันละ 6 มื้อเล็ก ๆ ไม่เคยขาด ไม่มีแอลกอฮอล์ ไม่มีน้ำตาล ไม่มีของทอด เน้นปลา ไก่ ผักสด ข้าวกล้อง น้ำเย็นสะอาด เคยออกจากร้านทันทีที่พนักงานเสิร์ฟ “โค้ก” มาให้ 4: เวท เทรน คาร์ดิโอ ว่ายน้ำ ซาวน่า — คือชีวิตประจำวัน เขาออกกำลังกายวันละ 5 ครั้งหลังแมตช์ยังว่ายน้ำ + ซาวน่าเพื่อเร่งการฟื้นตัวไม่มีคำว่า “เหนื่อย” มีแต่ “นี่แหละคือราคาแห่งความยิ่งใหญ่” 5: หลังซ้อมต้องแช่น้ำเย็นจัด เพื่อลดการอักเสบของกล้ามเนื้อเพราะโรนัลโด้รู้ว่า “ฟื้นตัวเร็วแปลว่าซ้อมได้อีกเร็วกว่าใคร” 6: ไม่มีโทรศัพท์ก่อนนอน ไม่มีแสงหน้าจอ เขาปิดเครื่อง ล็อกตัวเองออกจากโลกออนไลน์เพราะเขาไม่ยอมให้ “ความบันเทิงชั่วครู่” มาทำลายพลังงานของวันรุ่งขึ้น คุณไม่จำเป็นต้องทำได้เหมือนเขา แต่คุณต้องรู้ว่า“ตำนาน… ไม่ได้เกิดจากพรสวรรค์ แต่มันเกิดจากวินัยที่ไม่เคยหยุด”

Uncategorized

Microbiome: เกราะลับของผิวที่ช่วยรับมือกับแสงแดด

แสงแดดคือทั้งแหล่งชีวิตและภัยคุกคามในเวลาเดียวกัน—ร่างกายต้องการมันเพื่อสร้างวิตามิน D กระตุ้นอารมณ์ และเสริมสุขภาพในระดับระบบ แต่ผิวหนังซึ่งเป็นแนวหน้าในการรับแดด กลับต้องเผชิญความเสี่ยงตั้งแต่ระดับ DNA ไปจนถึงมะเร็งผิวหนัง ล่าสุด มีการศึกษาที่ชี้ว่า “จุลชีพผิวหนัง” หรือ microbiome อาจเป็นกุญแจดอกใหม่ในการทำความเข้าใจว่า ทำไมผิวบางคนจึงรับมือกับแสงแดดได้ดีกว่าอีกคน Microbiome: ไม่ใช่แค่เชื้อจุลินทรีย์ แต่คือระบบภูมิคุ้มกันเชิงนิเวศของผิว บนผิวของเรามีสิ่งมีชีวิตเล็กจิ๋วมากมาย: แบคทีเรียกว่า 1,000 ชนิด, เชื้อราหลายสิบสายพันธุ์ และไวรัสอีกจำนวนนับไม่ถ้วน ระบบนี้มีความหลากหลายและเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพผิว ไลฟ์สไตล์ และสิ่งแวดล้อม แต่วิวัฒนาการของมนุษย์สมัยใหม่ทำให้ microbiome ผิวเสียสมดุล—นักวิทยาศาสตร์คาดว่าเราสูญเสียจุลชีพดั้งเดิมไปถึง 80% แล้ว จุดสำคัญคือการหายไปของ biofilm —ฟิล์มบางๆ ที่เคยห่อหุ้มผิวมนุษย์ ช่วยดูดซับรังสี UV และเปลี่ยนมันให้เป็นพลังงานเพื่อขับเคลื่อนเมตาบอลิซึมที่เป็นประโยชน์ เช่น การสังเคราะห์วิตามิน D งานวิจัยล่าสุดชี้ว่า microbiome บางสายพันธุ์ช่วยลดผลกระทบของรังสี UV ได้จริง งานวิจัยปี 2025 ใน Journal of Investigative Dermatology พบว่าแบคทีเรีย Staphylococcus epidermidis มีเอนไซม์ urocanase ที่สามารถย่อย cis-urocanic acid ซึ่งมักทำให้ภูมิคุ้มกันผิวลดลงหลังโดน UVB งานวิจัยปี 2023 ใน Research in Microbiology พบว่าเมื่อผิวได้รับแดด ระบบ microbiome จะ “ปรับตัว” โดยเพิ่มแบคทีเรียกลุ่ม Sphingomonas และ Erythrobacteraceae ซึ่งอาจสร้างสารป้องกัน UV ได้ งานวิจัยปี 2018 พบว่า S. epidermidis บางสายพันธุ์สามารถผลิต 6-HAP สารที่ยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งผิวหนัง อนาคตของวัคซีนผิว? นักวิจัยกำลังพัฒนา วัคซีนผิวหนัง โดยใช้ภูมิคุ้มกันที่มีอยู่เดิมต่อ HPV บนผิว เพื่อกระตุ้น T-cell มาต่อสู้กับมะเร็งผิวหนังในระดับที่แม่นยำขึ้น ผิวคุณต้องการมากกว่าแค่ครีมกันแดดแม้ microbiome จะไม่ใช่ SPF แต่อาจเป็น “เลเยอร์ที่หายไป” ในการดูแลผิวจากภายใน: หลีกเลี่ยงสบู่ที่รุนแรง เสริม barrier ผิวด้วยเซราไมด์, โอ๊ต, เชียบัตเตอร์, กรดไขมัน รักษาสุขภาพ microbiome ผ่านไลฟ์สไตล์ที่ดี: นอนพอ, ลดเครียด, งดสูบ, อาหารไม่อักเสบ แบรนด์อย่าง Symbiome ก็ออกผลิตภัณฑ์แนวใหม่ เช่น Postbiomic™ mist ที่เลียนแบบการทำงานของ biofilm เดิมที่เราสูญเสียไป Microbiome: ไม่ใช่แค่คำแฟนซีในวงการสกินแคร์ แต่คือแนวคิดที่อาจเปลี่ยนเกม เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่การดูแลผิวไม่ใช่แค่ปกป้องจากภายนอก แต่คือ การร่วมมือกับชีวิตเล็กๆ ที่อยู่บนผิวเราเอง เพราะบางที การปกป้องผิวจากแสงแดด อาจไม่ใช่เรื่องของ “กันแดด” อย่างเดียวอีกต่อไป

Uncategorized

“Acid-Busting Diet” = ลดกรดในร่างกาย ลดน้ำหนักได้เฉลี่ย 6 กก. ภายใน 16 สัปดาห์

เปลี่ยนจาก “เนื้อสัตว์–ไข่–ชีส” มาเป็น “ผักใบ–เบอร์รี่–ถั่ว” อาจไม่ใช่แค่ดีต่อหัวใจ แต่ยัง ลดกรดสะสมในร่างกาย และ ลดน้ำหนักได้จริง งานวิจัยชิ้นนี้มีอะไรใหม่? จากการศึกษาแบบ cross-over trial โดย Physicians Committee for Responsible Medicine ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Frontiers in Nutrition: ผู้ร่วมทดลอง 62 คน (น้ำหนักเกิน) ทำการทดลอง 2 แบบ: แบบที่ 1: กินอาหาร เมดิเตอเรเนียน (Mediterranean Diet) แบบที่ 2: กินอาหาร วีแกนไขมันต่ำ (Low-Fat Vegan Diet) ระยะเวลา: 16 สัปดาห์ ต่อแต่ละประเภท (มีช่วงพักล้างระบบ 4 สัปดาห์ระหว่างกลาง) ผลลัพธ์: วีแกนชนะขาด คนที่กิน วีแกนไขมันต่ำ:-น้ำหนักลดเฉลี่ย 13.2 ปอนด์ (≈ 6 กิโลกรัม)-คะแนนกรดในอาหาร (PRAL และ NEAP) ลดลงชัดเจน-คนที่กินแบบเมดิเตอเรเนียน:-น้ำหนักไม่เปลี่ยนแปลง-ค่าความเป็นกรดไม่ลด กล่าวคือ อาหารแบบ วีแกนไขมันต่ำสามารถลดความเป็นกรดในร่างกายได้มากกว่า ซึ่งสัมพันธ์กับการลดน้ำหนักอย่างมีนัยสำคัญ ทำไม “อาหารกรดต่ำ” ถึงช่วยลดน้ำหนักได้? ลดกรด = ลดการอักเสบระดับเซลล์→ ช่วยให้ระบบเผาผลาญกลับมาทำงานได้ดีขึ้น เปลี่ยน microbiome ในลำไส้→ ส่งผลต่อฮอร์โมนความหิว ความอิ่ม และการดูดซึมไขมัน หลีกเลี่ยงโปรตีนสัตว์ที่กระตุ้นการสะสมกรดเช่น เนื้อวัว หมู ไข่ ชีส ฯลฯ ซึ่งเกี่ยวข้องกับความเป็นกรดในปัสสาวะและเลือด อาหารที่ช่วย “ลดกรด” (Alkaline foods) ผักใบเขียว: ผักโขม, คะน้า, บร็อคโคลี่ผลไม้รสเปรี้ยวอมหวาน: เชอร์รี่, แอปเปิ้ล, แคนตาลูปถั่วและพืชตระกูลถั่ว: ถั่วลูกไก่, ถั่วดำ, ถั่วเหลืองธัญพืชเต็มเมล็ด: ควินัว, ลูกเดือยปรับแค่ 3–4 อย่างนี้ในมื้อหลัก ก็ช่วยลดค่า PRAL และ NEAP ได้จริง “กรดในอาหาร” เป็นหนึ่งในปัจจัยซ่อนเร้นที่ เพิ่มการอักเสบ–น้ำหนัก–ความเสี่ยงโรคเรื้อรัง อาหารวีแกนไขมันต่ำ = ลดกรด + ลดน้ำหนัก งานวิจัยนี้แสดงว่าแค่ เปลี่ยนแหล่งโปรตีนและไขมัน ก็เปลี่ยนร่างกายได้ภายในไม่กี่สัปดาห์

Uncategorized

Tandem จับมือ Abbott ดันนวัตกรรม ‘Patch Pump + เซนเซอร์น้ำตาล’ ปฏิวัติวงการเบาหวาน

Tandem Diabetes Care ประกาศความร่วมมือกับ Abbott เพื่อรวมเครื่องปั๊มอินซูลิน t:slim X2 เข้ากับ Freestyle Libre 3 Plus — และในอนาคตกับ Glucose-Ketone Sensor ตัวใหม่ที่กำลังจะเปิดตัวในปีหน้า  จุดมุ่งหมาย: “ขยายโอกาสการใช้ insulin pump ไปสู่ผู้ป่วยเบาหวานทั้ง T1 และ T2 ที่ยังไม่เคยใช้มาก่อน”— Elizabeth Gasser, Chief Strategy & Product Officer, Tandem อัปเดตฟีเจอร์และทิศทางในอนาคตIntegration ล่าสุด:Freestyle Libre 3 Plus: กำลังอยู่ใน Early Access Launch เตรียมขยายผู้ใช้ครึ่งหลังปี 2025 Glucose-Ketone Sensor: คาดเปิดตัวปีหน้า Patch Pump รุ่นใหม่ Mobi Patch: เวอร์ชันไม่มีสายสำหรับปั๊มรุ่น Mobi (อยู่ระหว่างการทดสอบ design verification) Sigi: Patch pump แบบ tubeless เต็มตัว (จะตามมาในลำดับถัดไป) Gasser ชี้ว่า “Tubeless ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับรูปทรงเดิม ๆ”จุดเด่นคือถอดปั๊มได้โดย ไม่เสียอินซูลิน / ใช้งานได้นานกว่า / มีแบตชาร์จซ้ำ ลดขยะอิเล็กทรอนิกส์และมีพลังประมวลผลสูงพอรองรับ AID algorithm ขั้นสูง Fully Closed-Loop Tandem จับมือ University of Virginia Center for Diabetes Technology พัฒนา AID รุ่นถัดไปที่ ไม่ต้องคำนวณหรือกดอินซูลินเองเลย→ ทุกอย่าง “อัตโนมัติเต็มรูปแบบ” การแข่งขันเริ่มดุเดือด — แต่ Gasser มองว่า “สุดท้ายคือเรื่องดีของคนไข้”“มันไม่ใช่ one-size-fits-all… แต่ใครที่ลงทุนเร็ว วิ่งเร็ว เชื่อม ecosystem ได้ไวกว่า ก็ได้เปรียบ

Uncategorized

ทำไม “อากาศชื้น” ถึงอันตรายกว่าที่คิด?

ไม่ใช่แค่ “ร้อน” อย่างเดียวที่ทำให้ร่างกายล้มได้… “ความชื้นในอากาศ” ต่างหากที่ทำให้ระบบระบายความร้อนในร่างกายรวน — และอาจถึงตายได้แบบไม่รู้ตัว เหงื่อ = แอร์ธรรมชาติของมนุษย์ แต่เมื่ออากาศชื้นจัด ร่างกายจะ เหงื่อออกได้ช้าลงความร้อนภายในระบายไม่ทัน = อุณหภูมิแกนกลางร่างกาย (core temp) พุ่งสูงจนเป็นอันตราย ร่างกายเราควรอยู่ที่ประมาณ 98.6°F หรือ 37°Cถ้าร้อนจัดแล้วเหงื่อระบายไม่ออก = เสี่ยง ลมแดด (Heat Stroke) “Wet-Bulb Temperature” คืออะไร? เป็นค่าที่ใช้วัด ความอันตรายของความร้อน + ความชื้นนักวิทยาศาสตร์พบว่า… ถ้า “Wet-Bulb Temp” ถึง 35°C (95°F) และสัมผัสนาน 6 ชั่วโมง แม้แต่คนแข็งแรงก็อาจเสียชีวิตได้ ประเทศที่เคยแตะระดับนี้แล้ว เช่น อินเดีย, ตะวันออกกลาง, ชายฝั่งเม็กซิโก-อเมริกา งานวิจัยล่าสุดยังพบว่า จุดอันตรายจริง ๆ อาจต่ำกว่านั้น แล้วแต่เพศ อายุ โรคประจำตัว และความเคยชินของคนในพื้นที่ แล้วเราควรดูอะไรในแอปพยากรณ์อากาศ? ให้ดูที่ค่า Heat Index หรือ “Feels Like” (อุณหภูมิที่รู้สึกจริงบนผิวหนัง) ถ้าอยู่ในช่วง 103°F–124°F (39.4–51°C) = เขตอันตราย แนวโน้มเกิด “ตะคริวแดด” หรือ “หมดแรงเพราะร้อน” สูงมาก วิธีเอาตัวรอดจากความชื้นร้อน อยู่ในห้องแอร์เท่าที่ทำได้ดื่มน้ำมาก ๆ (แม้ไม่กระหาย)อาบน้ำเย็นงดกิจกรรมกลางแจ้ง หรือออกกำลังกายช่วงแดดแรงถ้ามีโรคหัวใจ ความดัน หรือเป็นผู้สูงอายุ/เด็กเล็ก = ยิ่งต้องระวัง อากาศชื้น ทำให้ต้องระวังเร็วกว่า “อากาศแห้ง”เพราะร่างกายไม่มีเวลาระบายความร้อนให้ทัน คนละเมือง คนละผลคนซีแอตเทิล (เมืองอากาศเย็น) จะทนร้อนชื้นได้น้อยกว่าคนแอตแลนตา (เมืองร้อนชื้น)นี่คือสิ่งที่เรียกว่า “ภูมิคุ้มกันสภาพอากาศ” (Climate Acclimatization) “ความชื้น” เป็นศัตรูเงียบของร่างกายยิ่งยุคที่โลกร้อนขึ้น อากาศผันผวน อย่ามองแค่ตัวเลขอุณหภูมิ จงดูว่า “รู้สึกยังไง” แล้วอย่าให้ร่างกายอยู่ในเขตอันตรายนานเกินไป

Uncategorized

“ปั่นจักรยาน” = เคล็ดลับอายุยืน ที่แพทย์ญี่ปุ่นยืนยัน

คนสูงวัยที่ยังปั่นจักรยานประจำ = มีสุขภาพดีกว่า ไม่ต้องพึ่งพาการดูแลระยะยาวนานงานวิจัยล่าสุดจาก University of Tsukuba ประเทศญี่ปุ่น ศึกษายาว 10 ปี โดยมีผู้ร่วมทดลองอายุเฉลี่ย 74 ปี พบว่า… ผู้สูงวัยที่ปั่นจักรยานเป็นประจำ กล้ามเนื้อขาไม่เสื่อมเร็วมีสมรรถภาพทางสมองและร่างกายที่ดีกว่าลดโอกาสกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงมีความสุขทางอารมณ์มากขึ้น เพราะได้ออกนอกบ้าน พบปะเพื่อนฝูง ดร. Kenji Tsunoda ผู้วิจัยกล่าวว่า “การปั่นจักรยานไม่ใช่แค่การออกกำลังกาย แต่ยังช่วยให้ผู้สูงอายุ ‘เข้าถึงโลก’ ได้มากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของคุณภาพชีวิต” ปั่น = ไปได้ไกลกว่าเดินผู้สูงวัยที่ขับรถไม่เป็น จะได้ออกจากบ้าน ไปหาคาเฟ่ ร้านอาหาร หรือเพื่อนฝูง ลดอาการ “อยู่บ้านเฉย ๆ จนซึมเศร้า” เป็นกิจกรรมที่ “ทั้งใช้สายตา หู การทรงตัว และกล้ามเนื้อขา” = กระตุ้นสมองด้วย ปั่นเป็นทางไปทำงาน = ยิ่งดีเข้าไปใหญ่งานวิจัยจาก BMJ Public Health ปี 2024 ซึ่งติดตามผู้ใหญ่กว่า 82,000 คนในสกอตแลนด์ เป็นเวลา 18 ปี พบว่า…คนที่ “ปั่นจักรยานไปทำงาน”:เสี่ยงเสียชีวิตก่อนวัยน้อยลง 47%ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ 24%ลดความเสี่ยงตายจากมะเร็ง 51%มีสุขภาพจิตดีกว่า (วัดจากปริมาณยารักษาอาการซึมเศร้าและวิตกกังวลที่ลดลง) ปั่นจักรยาน = กิจกรรมธรรมดาแต่ไม่ธรรมดาเหมาะกับผู้สูงวัยสุด ๆ เพราะช่วยให้ “กล้าออกจากบ้าน”เพิ่มทั้ง สุขภาพกาย, สมอง, ความสุข, และอายุขัย ไปพร้อมกัน

Uncategorized

ย้อนวัยไป 18 ทั้งที่อายุ 47 จริงไหม ?

นี่ไม่ใช่หนังไซไฟ แต่คือชีวิตจริงของ Bryan Johnson มหาเศรษฐีนักเทคโนโลยี ผู้ขายบริษัท Braintree ให้ PayPal ด้วยมูลค่า 800 ล้านดอลลาร์ แล้วใช้ชีวิตที่เหลือทุ่มเทให้กับ “โปรเจกต์ต่อต้านความแก่” ที่เขาเรียกว่า Blueprint เพื่อเปลี่ยนตัวเองให้เป็น “คนที่แข็งแรงที่สุดในโลก” ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ เขาทำยังไง? วิธีใช้ชีวิตแบบ Bryan Johnson 1. วัดสุขภาพระดับเซลล์ (Full-Body Biometrics)วัดมากกว่า 70 ระบบร่างกาย รวมกว่า 1,000 ตัวชี้วัด เช่น ความยืดหยุ่นของเส้นเลือด, ฟังก์ชันตับ, ความหนาแน่นของไมโทคอนเดรีย, ระดับฮอร์โมน ฯลฯตรวจเลือดและ DNA เป็นประจำ พร้อมสแกนสมอง หัวใจ และแม้แต่แบคทีเรียในลำไส้ ผลลัพธ์ล่าสุด:หัวใจเทียบเท่าเด็กอายุ 37 ปีผิวหนังเทียบเท่าเด็กอายุ 28 ปีความจุปอดเหมือนคนอายุ 18 ปีฟิตกว่าคนหนุ่มครึ่งอายุเขา 2. กินเหมือนหุ่นยนต์ แต่เพื่อเป็นมนุษย์เวอร์ชันที่ดีที่สุดกินอาหารที่ “คำนวณแล้ว” ว่าดีที่สุดต่อระบบร่างกายกินเวลาเดิมทุกวัน (time-restricted eating)งดแอลกอฮอล์ คาเฟอีน น้ำตาล และอาหารแปรรูปกินแค่ 1,977 แคลอรี่ต่อวัน พร้อมอาหารเสริมกว่า 100 ชนิด 3. ฝึกกายแบบนักกีฬาโอลิมปิกฝึก Strength training 3–4 ครั้ง/สัปดาห์คาร์ดิโอแบบ HIIT และ steady-stateการยืดเหยียด เพื่อคงความยืดหยุ่นระดับนักบัลเลต์มีการวัด VO₂ max, อัตราการฟื้นตัว, และเปอร์เซ็นต์ไขมันในกล้ามเนื้อ 4. นอนแบบราชาเข้านอนเวลาเดิมทุกคืนใช้เทคโนโลยีควบคุมอุณหภูมิที่นอนวัดคุณภาพการนอนผ่าน EEG และ HRVไม่ใช้มือถือหรือแสงสีฟ้าก่อนนอนเด็ดขาด 5. ดูแลสุขภาพจิต และสมองฝึกสมาธิและหายใจเข้าออกแบบ Biofeedbackตรวจ Brain MRI และสแกนคลื่นสมองมีทีมจิตแพทย์และนักประสาทวิทยาดูแลโดยเฉพาะ วิทยาศาสตร์เบื้องหลังแนวทาง “ย้อนวัย” Bryan Johnson ใช้แนวทางจากงานวิจัยล้ำหน้าที่สุด เช่น Epigenetic Reprogramming: ปรับ DNA เพื่อให้เซลล์กลับมาหนุ่ม Mitochondrial Optimization: เพิ่มพลังงานให้เซลล์ Autophagy Activation: กระตุ้นการรีไซเคิลเซลล์ Senescent Cell Clearance: กำจัด “เซลล์แก่” ออกจากร่างกาย เขาทำทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อตัวเอง แต่เพื่อ “ท้าทายขีดจำกัดของมนุษย์” และสร้างโร้ดแมปใหม่ของการแพทย์เชิงป้องกัน ถ้าเราอยากเริ่มแบบเขา ต้องทำยังไง? วัดสุขภาพให้ละเอียด – เริ่มจากการตรวจเลือด ฮอร์โมน และการนอน ตั้งเป้าการกิน – ลองลดน้ำตาล กินโปรตีนและผักเพิ่ม ขยับร่างกายทุกวัน – แม้แค่ 15 นาที ก็มีผล นอนให้ดี – นอนก่อนเที่ยงคืน สร้างกิจวัตรก่อนนอนที่ผ่อนคลาย เสริมด้วยความรู้ใหม่ๆ – ศึกษาเรื่อง longevity และ biohacking ชีวิตที่แข็งแรงที่สุดในโลก เริ่มจาก “ระบบ” ไม่ใช่แค่ “แรงฮึด” Bryan Johnson ไม่ได้มีสุขภาพดีที่สุดในโลกเพราะโชคช่วย แต่เพราะเขา “ออกแบบชีวิต” เหมือนวิศวกรสร้างยานอวกาศ ทั้งหมดอยู่บนหลักการ วัดผล-ปรับ-วัดซ้ำ และมีเป้าหมายเดียวคือ “ยืดอายุให้ยืนยาวอย่างแข็งแรง และย้อนวัยกลับไปเรื่อยๆ” และในยุคที่เรามีเครื่องมือเทียบเท่านักวิทยาศาสตร์ในห้องแล็บ ทุกคนก็เริ่มต้นแบบเขาได้… แค่วันนี้คุณกล้าลองหรือยัง?

Scroll to Top