Uncategorized

Uncategorized

เข้าใจใหม่ “ดื่มน้ำ 8 แก้วต่อวัน” ไม่ได้เหมาะกับทุกคน!

เข้าใจใหม่เรื่องการดื่มน้ำให้เหมาะกับตัวคุณเคยได้ยินไหมว่า “ดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว” แล้วจะดีต่อสุขภาพ? จริงๆ แล้วสูตรนี้ ไม่ใช่กฎตายตัว เพราะร่างกายแต่ละคนมีความต้องการน้ำแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับอายุ เพศ กิจกรรมที่ทำ สภาพอากาศ และสุขภาพของแต่ละคนด้วย ปริมาณน้ำที่ควรดื่มต่อวัน (รวมจากทุกแหล่ง: น้ำเปล่า อาหาร เครื่องดื่ม) ตามรายงานของ U.S. National Academies of Sciences, Engineering, and Medicine ทารก 6–12 เดือน1/2 ถึง 1 ถ้วย (120–240 มล.) ต่อวัน เด็ก1–5 ถ้วย + นมอีก 2–3 ถ้วย วัยรุ่น7–8 ถ้วย (1.6–1.9 ลิตร) ผู้ใหญ่ชาย15.5 ถ้วย (ประมาณ 3.7 ลิตร) ผู้ใหญ่หญิง11.5 ถ้วย (ประมาณ 2.7 ลิตร) หญิงตั้งครรภ์8–12 ถ้วย (2–3 ลิตร) หญิงให้นมบุตร16 ถ้วย (ประมาณ 3.8 ลิตร) ผู้สูงวัย13 ถ้วย (ชาย) / 9 ถ้วย (หญิง) หมายเหตุ: ปริมาณนี้รวมถึงน้ำจากอาหาร น้ำผลไม้ ซุป หรือแม้แต่น้ำจากผักผลไม้ ถ้าออกกำลังกาย ต้องดื่มน้ำเพิ่มอย่างไร? คำแนะนำจาก American Council on Exercise:2–3 ชั่วโมงก่อนออกกำลังกาย: ดื่ม 500–600 มล. 20–30 นาทีก่อนเริ่ม: ดื่ม 240 มล. ระหว่างออกกำลังกาย: ดื่ม 200–300 มล. ทุก 10–20 นาที หลังออกกำลังกาย: ดื่มอีก 240 มล. ภายใน 30 นาที หากออกกำลังกายนานเกิน 60–90 นาที หรือต่อเนื่องกลางแจ้ง แนะนำให้เติม เกลือแร่ (Electrolytes) เช่นโซเดียม โพแทสเซียม คาร์โบไฮเดรต เพื่อป้องกันภาวะขาดเกลือแร่หรือ “Hyponatremia” น้ำ = ชีวิต (จริงๆ) การดื่มน้ำที่เพียงพอช่วยให้: ควบคุมอุณหภูมิร่างกายและความดันโลหิตช่วยให้ข้อไม่ฝืด เคลื่อนไหวลื่นไหลป้องกันนิ่วในไต ท้องผูก และติดเชื้อทางเดินปัสสาวะผิวดูชุ่มชื้น สุขภาพดีสมองทำงานดี ความจำดี อารมณ์ดี ดื่มมากไปก็ใช่ว่าจะดีเสมอ หากดื่มน้ำมากเกินไปในเวลาสั้นๆ โดยเฉพาะในคนที่มีปัญหาไต ตับ หัวใจ หรือกินยาที่ทำให้บวมน้ำ เช่น ยาต้านอักเสบ ยากล่อมประสาท → เสี่ยง “Hyponatremia” (โซเดียมในเลือดต่ำ) ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต

Uncategorized

ชอบนอนเปลือย ช่วยฟื้นฟูลึกขึ้น ?

งานวิจัยล่าสุดบอกว่า… สิ่งที่คุณ “ไม่ใส่” ขณะนอน อาจสำคัญพอ ๆ กับชั่วโมงที่คุณนอนเลยทีเดียว การนอนโดยไม่ใส่เสื้อผ้า ช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวลึกกว่าเดิม ด้วยกลไกธรรมชาติที่ไม่ต้องพึ่งยา ไม่ต้องพึ่งวิตามินเสริม ผลลัพธ์ที่ได้จากแค่นอนเปลือย: •  ควบคุมอุณหภูมิร่างกายดีขึ้น (หลับลึกขึ้นแบบธรรมชาติ)•  หลับลึก มีคุณภาพ สมองเคลียร์ รีเซ็ตระบบ•  กระตุ้นการหลั่งโกรทฮอร์โมน + เมลาโทนิน ฮอร์โมนสำคัญที่ช่วยซ่อมแซมร่างกาย + เบิร์นไขมัน•  ลดคอร์ติซอล (ฮอร์โมนเครียด) ให้นอนแบบสงบ ลึก และจริง•  เร่งระบบเผาผลาญ + ปรับความไวต่ออินซูลิน ซึ่งสัมพันธ์กับการควบคุมน้ำหนัก แค่ปล่อยให้ผิวสัมผัสอากาศเย็นๆ ตอนกลางคืนร่างกายจะเข้าสู่โหมดฟื้นฟูได้เร็วและลึกกว่าเดิม ไม่ใช่เคล็ดลับวิเศษแต่คือ “นิสัยเล็กๆ ที่มีหลักฐานวิทยาศาสตร์รองรับ”ใครอยากให้ ฮอร์โมนดี ระบบเผาผลาญแรง อารมณ์นิ่ง ลองเริ่มคืนนี้เลยก็ยังทัน

Uncategorized

สมองคนเรายังสร้างเซลล์ใหม่ได้ แม้อายุจะมากแค่ไหนก็ตาม

งานวิจัยล่าสุดยืนยัน: ประสาทใหม่ได้” แม้ในวัยชรานักวิทยาศาสตร์พบเซลล์ต้นกำเนิดประสาทในสมองจริง ไม่ใช่แค่คาดการณ์ จุดเปลี่ยนวงการประสาทวิทยา: ทีมวิจัยจาก Karolinska Institutet ประเทศสวีเดน ตีพิมพ์งานวิจัยใน Science ยืนยันว่าสมองมนุษย์ยังสร้าง เซลล์ประสาทใหม่ (neurogenesis) ได้ตลอดชีวิตแม้จะอายุเกือบ 80 ปีแล้วก็ตาม บริเวณที่พบ:“ฮิปโปแคมปัส (hippocampus)” ซึ่งเป็นศูนย์ความจำ การเรียนรู้ และการควบคุมอารมณ์โดยเฉพาะจุดสำคัญที่เรียกว่า dentate gyrus เทคนิควิจัยระดับสูง: นักวิจัยใช้การวิเคราะห์ระดับเซลล์เดี่ยว (single-nucleus RNA sequencing)ร่วมกับ flow cytometry, RNAscope และ Xeniumเพื่อตรวจสอบเนื้อเยื่อสมองของคนตั้งแต่ อายุ 0 ถึง 78 ปี จากหลาย biobank ทั่วโลก ผลลัพธ์ชี้ชัดว่าพบ เซลล์ต้นกำเนิดประสาท (neural progenitor cells) ที่ยังสามารถแบ่งตัวได้ตรวจเจอ เซลล์ในระยะก่อนเป็นเซลล์ประสาท หลายช่วงหลายเซลล์ยังอยู่ใน “ระยะเตรียมแบ่งตัว” แสดงว่ายังทำงานอยู่ สมองยัง “เปลี่ยนแปลงและซ่อมแซมตัวเอง” ได้นักวิจัยยืนยันว่า neurogenesis ในสมองผู้ใหญ่ ไม่ได้หมดไป ตามที่เคยเข้าใจแต่ ยังคงเกิดขึ้นจริง และสามารถกระตุ้นได้ในอนาคต “นี่คือชิ้นส่วนสำคัญของพัซเซิลที่จะพาเราไปเข้าใจสมองมนุษย์อย่างแท้จริงและเปิดทางสู่การพัฒนาการรักษาโรคสมองเสื่อม หรือโรคทางจิตเวชแบบใหม่ได้”Jonas Frisén, หัวหน้าทีมวิจัย ประโยชน์ในอนาคต: อาจใช้ต่อยอดสร้าง การรักษากระตุ้นการสร้างเซลล์สมองในโรคอัลไซเมอร์อธิบายความแตกต่างรายบุคคลในการฟื้นตัวหลังบาดเจ็บสมองปูทางสู่ “การซ่อมแซมสมองจากภายใน” ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งการปลูกถ่ายเซลล์

Uncategorized

“กินชีสทุกวัน” อาจไม่ใช่ปัญหา… ถ้าคุณรู้ว่าต้องเลือกแบบไหน และกินอย่างไร

ประโยชน์หลัก ๆ ที่ชีสให้คุณ โปรตีนคุณภาพสูง: โปรตีนคุณภาพสูง:ให้กรดอะมิโนจำเป็นครบถ้วน (โดยเฉพาะเคซีน)ตัวอย่าง: พาร์เมซาน 10g / ชีสสวิส 7.7g / เชดดาร์ 6.5g ต่อ 1 oz แคลเซียมสูง เสริมกระดูก:ชีสแข็งอย่างพาร์เมซานสูงถึง 260 mg ต่อ 1 ozตอบโจทย์คนที่ต้องการบำรุงกระดูก โปรไบโอติก (จุลินทรีย์ดี):พบในชีสหมักที่ไม่ผ่านพาสเจอไรซ์ เช่น เชดดาร์ กูด้าช่วยสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ เสริมภูมิคุ้มกัน แต่ก็มีข้อควรระวัง โซเดียมสูง:ส่งผลต่อความดันโลหิตเลือกชีสที่โซเดียมต่ำ เช่น มอสซาเรลล่า ริคอตต้า หรือชีสนมแพะ พลังงานสูง:ชีสแข็งมักมีแคลอรีมากกว่า 110 kcal ต่อ 1 ozถ้ากินเพลินแบบไม่รู้ตัว น้ำหนักอาจพุ่งได้ง่าย ปัญหาเมื่อคุณแพ้น้ำตาลแลคโตส:อาจทำให้จุกเสียด แสบท้อง กรดไหลย้อนแต่ชีสบางชนิดอย่างพาร์เมซาน เชดดาร์ มีแลคโตสน้อยตามธรรมชาติ ไขมันอิ่มตัว:ชีสบางชนิดมีไขมันอิ่มตัวสูง เพิ่ม LDL (ไขมันเลว)หลีกเลี่ยงหากคุณมีปัญหาไขมันในเลือดหรือโรคหัวใจ ทางเลือก: คอทเทจชีส ริคอตต้า มอสซาเรลล่าแบบไขมันต่ำ ชีส = อาหารบำรุงหัวใจได้ (ถ้าเลือกถูก) งานวิจัยปี 2023 พบว่า การกินชีสวันละ 1.5 oz อาจลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ ชีสบางชนิดมีกรดไขมัน CLA ซึ่งอาจดีต่อหัวใจ แต่ยังเป็นเรื่องที่นักวิจัยถกเถียงอยู่ เพราะ CLA อาจมีผลข้างเคียงในบางกลุ่ม วิธีเลือกชีสให้สุขภาพดี อ่านฉลากก่อนเลือก: ดูโซเดียม ไขมัน และแคลอรี กินชีสแต่น้อย ให้ได้รสชาติ แต่ไม่เกินพอดี ใช้ชีสขูดละเอียดช่วยให้กินได้น้อยแต่ยังอร่อย อย่าลืม: สมดุลอาหารสำคัญที่สุด ผัก ธัญพืช ผลไม้ โปรตีนดี และชีส = Diet สมบูรณ์

Uncategorized

CRISTIANO RONALDO นักฟุตบอลระดับโลก วินัยโหดระดับปีศาจ

“มนุษย์ทั่วไปไม่มีวันทำได้” ถ้าคุณยังตื่นสาย กินมั่ว นอนไม่เป็นเวลา แล้วฝันอยากหุ่นดีแบบโรนัลโด้… หยุดเลยครับ เพราะนี่คือชีวิตจริงของเขา ไม่ใช่ภาพในโฆษณาชีวิตที่ไม่มีคำว่า “เดี๋ยวก่อน” หรือ “พรุ่งนี้ค่อยเริ่ม”ชีวิตที่ถูกออกแบบให้ทุกวินาที = ประสิทธิภาพสูงสุด 1: โรนัลโด้ไม่ได้มีแค่หุ่นดี… เขาคือ “เครื่องจักรที่มีจิตวิญญาณ” ทุกเช้า เขาตื่นมาแบบไม่มีข้อแม้ ไม่ว่าจะดึกหรือเหนื่อยแค่ไหน เป้าหมายของเขาคือ “เป็นเวอร์ชันที่ดีกว่าเมื่อวาน” ทุกวัน ไม่มีวันไหนที่ร่างกายได้หยุด เพราะเขาไม่ให้จิตใจมีโอกาสขี้เกียจ 2: เขานอนวันละ 5 รอบ รอบละ 90 นาที ไม่ใช่นอนทีเดียวจบ 7 ชั่วโมงแต่เป็นการ “สลับร่าง” ทุก 90 นาที เพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูระดับนักบินอวกาศนี่คือระบบ “Polyphasic Sleep” ที่ใช้ได้เฉพาะคนที่มีวินัยโหดจริงเท่านั้น 3: อาหารของโรนัลโด้ = พลังงาน ไม่ใช่ความอยาก กินวันละ 6 มื้อเล็ก ๆ ไม่เคยขาด ไม่มีแอลกอฮอล์ ไม่มีน้ำตาล ไม่มีของทอด เน้นปลา ไก่ ผักสด ข้าวกล้อง น้ำเย็นสะอาด เคยออกจากร้านทันทีที่พนักงานเสิร์ฟ “โค้ก” มาให้ 4: เวท เทรน คาร์ดิโอ ว่ายน้ำ ซาวน่า — คือชีวิตประจำวัน เขาออกกำลังกายวันละ 5 ครั้งหลังแมตช์ยังว่ายน้ำ + ซาวน่าเพื่อเร่งการฟื้นตัวไม่มีคำว่า “เหนื่อย” มีแต่ “นี่แหละคือราคาแห่งความยิ่งใหญ่” 5: หลังซ้อมต้องแช่น้ำเย็นจัด เพื่อลดการอักเสบของกล้ามเนื้อเพราะโรนัลโด้รู้ว่า “ฟื้นตัวเร็วแปลว่าซ้อมได้อีกเร็วกว่าใคร” 6: ไม่มีโทรศัพท์ก่อนนอน ไม่มีแสงหน้าจอ เขาปิดเครื่อง ล็อกตัวเองออกจากโลกออนไลน์เพราะเขาไม่ยอมให้ “ความบันเทิงชั่วครู่” มาทำลายพลังงานของวันรุ่งขึ้น คุณไม่จำเป็นต้องทำได้เหมือนเขา แต่คุณต้องรู้ว่า“ตำนาน… ไม่ได้เกิดจากพรสวรรค์ แต่มันเกิดจากวินัยที่ไม่เคยหยุด”

Uncategorized

Microbiome: เกราะลับของผิวที่ช่วยรับมือกับแสงแดด

แสงแดดคือทั้งแหล่งชีวิตและภัยคุกคามในเวลาเดียวกัน—ร่างกายต้องการมันเพื่อสร้างวิตามิน D กระตุ้นอารมณ์ และเสริมสุขภาพในระดับระบบ แต่ผิวหนังซึ่งเป็นแนวหน้าในการรับแดด กลับต้องเผชิญความเสี่ยงตั้งแต่ระดับ DNA ไปจนถึงมะเร็งผิวหนัง ล่าสุด มีการศึกษาที่ชี้ว่า “จุลชีพผิวหนัง” หรือ microbiome อาจเป็นกุญแจดอกใหม่ในการทำความเข้าใจว่า ทำไมผิวบางคนจึงรับมือกับแสงแดดได้ดีกว่าอีกคน Microbiome: ไม่ใช่แค่เชื้อจุลินทรีย์ แต่คือระบบภูมิคุ้มกันเชิงนิเวศของผิว บนผิวของเรามีสิ่งมีชีวิตเล็กจิ๋วมากมาย: แบคทีเรียกว่า 1,000 ชนิด, เชื้อราหลายสิบสายพันธุ์ และไวรัสอีกจำนวนนับไม่ถ้วน ระบบนี้มีความหลากหลายและเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพผิว ไลฟ์สไตล์ และสิ่งแวดล้อม แต่วิวัฒนาการของมนุษย์สมัยใหม่ทำให้ microbiome ผิวเสียสมดุล—นักวิทยาศาสตร์คาดว่าเราสูญเสียจุลชีพดั้งเดิมไปถึง 80% แล้ว จุดสำคัญคือการหายไปของ biofilm —ฟิล์มบางๆ ที่เคยห่อหุ้มผิวมนุษย์ ช่วยดูดซับรังสี UV และเปลี่ยนมันให้เป็นพลังงานเพื่อขับเคลื่อนเมตาบอลิซึมที่เป็นประโยชน์ เช่น การสังเคราะห์วิตามิน D งานวิจัยล่าสุดชี้ว่า microbiome บางสายพันธุ์ช่วยลดผลกระทบของรังสี UV ได้จริง งานวิจัยปี 2025 ใน Journal of Investigative Dermatology พบว่าแบคทีเรีย Staphylococcus epidermidis มีเอนไซม์ urocanase ที่สามารถย่อย cis-urocanic acid ซึ่งมักทำให้ภูมิคุ้มกันผิวลดลงหลังโดน UVB งานวิจัยปี 2023 ใน Research in Microbiology พบว่าเมื่อผิวได้รับแดด ระบบ microbiome จะ “ปรับตัว” โดยเพิ่มแบคทีเรียกลุ่ม Sphingomonas และ Erythrobacteraceae ซึ่งอาจสร้างสารป้องกัน UV ได้ งานวิจัยปี 2018 พบว่า S. epidermidis บางสายพันธุ์สามารถผลิต 6-HAP สารที่ยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งผิวหนัง อนาคตของวัคซีนผิว? นักวิจัยกำลังพัฒนา วัคซีนผิวหนัง โดยใช้ภูมิคุ้มกันที่มีอยู่เดิมต่อ HPV บนผิว เพื่อกระตุ้น T-cell มาต่อสู้กับมะเร็งผิวหนังในระดับที่แม่นยำขึ้น ผิวคุณต้องการมากกว่าแค่ครีมกันแดดแม้ microbiome จะไม่ใช่ SPF แต่อาจเป็น “เลเยอร์ที่หายไป” ในการดูแลผิวจากภายใน: หลีกเลี่ยงสบู่ที่รุนแรง เสริม barrier ผิวด้วยเซราไมด์, โอ๊ต, เชียบัตเตอร์, กรดไขมัน รักษาสุขภาพ microbiome ผ่านไลฟ์สไตล์ที่ดี: นอนพอ, ลดเครียด, งดสูบ, อาหารไม่อักเสบ แบรนด์อย่าง Symbiome ก็ออกผลิตภัณฑ์แนวใหม่ เช่น Postbiomic™ mist ที่เลียนแบบการทำงานของ biofilm เดิมที่เราสูญเสียไป Microbiome: ไม่ใช่แค่คำแฟนซีในวงการสกินแคร์ แต่คือแนวคิดที่อาจเปลี่ยนเกม เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่การดูแลผิวไม่ใช่แค่ปกป้องจากภายนอก แต่คือ การร่วมมือกับชีวิตเล็กๆ ที่อยู่บนผิวเราเอง เพราะบางที การปกป้องผิวจากแสงแดด อาจไม่ใช่เรื่องของ “กันแดด” อย่างเดียวอีกต่อไป

Uncategorized

“Nasal Strips” ตัวช่วยลมหายใจที่นักกีฬาระดับโลกเริ่มหันมาใช้กันมากขึ้น!

Carlos Alcaraz ไม่ได้ใส่แถบจมูก (nasal strips) แค่เท่ๆ — แต่เพราะมันอาจช่วยให้หายใจดีขึ้นจริงๆ คำถามคือ… ช่วยเพิ่ม performance ได้จริงไหม? Nasal Strips คืออะไร? คล้ายพลาสเตอร์แปะจมูก มีโครงแข็งช่วย “ยกผนังด้านใน” ให้รูจมูกกว้างขึ้น ลดการบีบตัวของรูจมูกขณะหายใจแรงๆ เช่น ตอนวิ่งหรือออกกำลังกายหนัก เหมาะกับใคร? คนที่หายใจติดขัดจากภูมิแพ้, จมูกเบี้ยว, หรือโพรงจมูกตีบ นักกีฬากลางแจ้งช่วงอากาศแห้งหรือฤดูเกสร (pollen season) ได้ผลจริงไหม? ถ้าคุณมีปัญหาโครงสร้างโพรงจมูก = ได้ผลชัดเจน ถ้าไม่มีปัญหา = อาจได้แค่ “รู้สึกว่าดีขึ้น” ซึ่งก็เป็น placebo ที่อาจช่วยให้มีสมาธิหรืออึดขึ้นได้ในสนามแข่ง วิธีใช้ให้ถูก แปะเหนือปีกจมูก ตรงบริเวณที่รูจมูกเริ่มแคบจุดที่ใช่คือจุดที่ “หายใจสะดวกขึ้นทันทีหลังแปะ” ไม่ใช่ของวิเศษ แต่ถ้าคุณเป็นคนที่มีปัญหาทางเดินหายใจเล็กน้อย นี่อาจเป็นตัวช่วยที่ทำให้คุณ “ไม่เหนื่อยง่ายโดยไม่จำเป็น” และ เพิ่มความมั่นใจได้ทันที

Uncategorized

5 ความเข้าใจผิดเรื่อง “ยาต้านซึมเศร้า” ที่อาจทำให้คนพลาดโอกาสในการรักษา

ยาต้านซึมเศร้ากลับถูกเข้าใจผิดอยู่บ่อยครั้ง ความเข้าใจคลาดเคลื่อนเหล่านี้ไม่ได้แค่สร้างความกลัว แต่ยังอาจทำให้ผู้ป่วยลังเลหรือปฏิเสธการรักษาที่อาจเปลี่ยนชีวิตได้เลยทีเดียว 1 ยาต้านซึมเศร้าทำแค่เพิ่มระดับ “เซโรโทนิน” ในสมอง ความเข้าใจนี้ เรียบง่ายเกินจริง เพราะแท้จริงแล้วยาเหล่านี้ (โดยเฉพาะกลุ่ม SSRI) ส่งผลต่อระบบสื่อประสาทหลายชนิด และยัง กระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์สมองใหม่ (neurogenesis) รวมถึง เสริมความยืดหยุ่นของสมอง (neuroplasticity) พูดง่าย ๆ คือ มันช่วยสร้าง “สภาพแวดล้อมในสมอง” ที่เหมาะสมให้คนค่อย ๆ ฟื้นจากภาวะซึมเศร้า—not just a serotonin fix. 2 ยาต้านซึมเศร้าจะเปลี่ยนบุคลิกภาพของคุณ ไม่จริง—เป้าหมายของยาไม่ใช่ “เปลี่ยนคุณให้เป็นอีกคน” แต่คือช่วยลดอาการป่วย เช่น ความสิ้นหวัง ความเหนื่อยล้า หรือการรู้สึกไร้ค่า ผู้ที่ใช้ยาแล้วดีขึ้นหลายคนมักพูดว่า “กลับมาเป็นตัวเองอีกครั้ง” มากกว่ารู้สึกกลายเป็นคนอื่นแม้บางรายอาจพบอาการข้างเคียงอย่าง emotional blunting (รู้สึกชานิด ๆ ทางอารมณ์) แต่อาการนี้แก้ไขได้โดยปรับขนาดยาหรือเปลี่ยนตัวยา 3 ยาต้านซึมเศร้าติดได้ คำว่า “ติดยา” ใช้กับสารเสพติดที่สร้างความอยาก (craving) และต้องเพิ่มขนาดเพื่อคงฤทธิ์ ไม่ใช่กับยาต้านซึมเศร้า ยานี้ไม่มีฤทธิ์ทำให้รู้สึก “high” และไม่กระตุ้นพฤติกรรมเสพติด เพียงแต่หากหยุดกะทันหัน อาจมี “อาการถอนยา” หรือ discontinuation syndrome จึงควรหยุดภายใต้คำแนะนำของแพทย์ 4 ยานี้เป็นทางลัดหรือ “ยาแก้ซึมเศร้าทันใจ” หลายคนเข้าใจผิดว่ายาต้านซึมเศร้าจะออกฤทธิ์เหมือนยาพารา แต่จริง ๆ แล้วต้องใช้เวลา หลายสัปดาห์กว่าจะเริ่มเห็นผลและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด มักเกิดเมื่อใช้ร่วมกับจิตบำบัด (therapy)การเปลี่ยนพฤติกรรมชีวิตระบบสนับสนุนทางสังคม 5 ทุกคนจะมีผลข้างเคียงเหมือนกัน อันนี้ก็ผิดอีก! คนเราแต่ละคนมีพันธุกรรม การเผาผลาญ อายุ และการใช้ยาร่วมต่างกันผลข้างเคียงที่คนหนึ่งเจอ เช่น คลื่นไส้ น้ำหนักขึ้น หรืออ่อนเพลีย อาจไม่เกิดกับคนอีกคนเลย หากตัวยาใดไม่เวิร์ก ก็มีตัวเลือกอื่นให้ลอง ไม่ใช่ว่าเจอยาไม่ถูกก็แปลว่า “หมดทางรักษา” ข้อเท็จจริงที่ควรรู้ ภาวะซึมเศร้าไม่ใช่แค่ “เศร้า” แต่คือ โรคทางการแพทย์ ที่สมองเกิดความไม่สมดุล และจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี ยาต้านซึมเศร้าไม่ใช่คำตอบเดียว แต่เป็น หนึ่งในเครื่องมือ ที่ช่วยเสริมให้การรักษาครบองค์รวมขึ้น การพูดคุยกับแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญจิตเวชคือจุดเริ่มต้นสำคัญ ยาต้านซึมเศร้าไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว หากเราเข้าใจมันอย่างถูกต้องการสลาย “มายาคติ” เหล่านี้คือก้าวแรกสู่การเข้าถึงการรักษาและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

Uncategorized

“Acid-Busting Diet” = ลดกรดในร่างกาย ลดน้ำหนักได้เฉลี่ย 6 กก. ภายใน 16 สัปดาห์

เปลี่ยนจาก “เนื้อสัตว์–ไข่–ชีส” มาเป็น “ผักใบ–เบอร์รี่–ถั่ว” อาจไม่ใช่แค่ดีต่อหัวใจ แต่ยัง ลดกรดสะสมในร่างกาย และ ลดน้ำหนักได้จริง งานวิจัยชิ้นนี้มีอะไรใหม่? จากการศึกษาแบบ cross-over trial โดย Physicians Committee for Responsible Medicine ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Frontiers in Nutrition: ผู้ร่วมทดลอง 62 คน (น้ำหนักเกิน) ทำการทดลอง 2 แบบ: แบบที่ 1: กินอาหาร เมดิเตอเรเนียน (Mediterranean Diet) แบบที่ 2: กินอาหาร วีแกนไขมันต่ำ (Low-Fat Vegan Diet) ระยะเวลา: 16 สัปดาห์ ต่อแต่ละประเภท (มีช่วงพักล้างระบบ 4 สัปดาห์ระหว่างกลาง) ผลลัพธ์: วีแกนชนะขาด คนที่กิน วีแกนไขมันต่ำ:-น้ำหนักลดเฉลี่ย 13.2 ปอนด์ (≈ 6 กิโลกรัม)-คะแนนกรดในอาหาร (PRAL และ NEAP) ลดลงชัดเจน-คนที่กินแบบเมดิเตอเรเนียน:-น้ำหนักไม่เปลี่ยนแปลง-ค่าความเป็นกรดไม่ลด กล่าวคือ อาหารแบบ วีแกนไขมันต่ำสามารถลดความเป็นกรดในร่างกายได้มากกว่า ซึ่งสัมพันธ์กับการลดน้ำหนักอย่างมีนัยสำคัญ ทำไม “อาหารกรดต่ำ” ถึงช่วยลดน้ำหนักได้? ลดกรด = ลดการอักเสบระดับเซลล์→ ช่วยให้ระบบเผาผลาญกลับมาทำงานได้ดีขึ้น เปลี่ยน microbiome ในลำไส้→ ส่งผลต่อฮอร์โมนความหิว ความอิ่ม และการดูดซึมไขมัน หลีกเลี่ยงโปรตีนสัตว์ที่กระตุ้นการสะสมกรดเช่น เนื้อวัว หมู ไข่ ชีส ฯลฯ ซึ่งเกี่ยวข้องกับความเป็นกรดในปัสสาวะและเลือด อาหารที่ช่วย “ลดกรด” (Alkaline foods) ผักใบเขียว: ผักโขม, คะน้า, บร็อคโคลี่ผลไม้รสเปรี้ยวอมหวาน: เชอร์รี่, แอปเปิ้ล, แคนตาลูปถั่วและพืชตระกูลถั่ว: ถั่วลูกไก่, ถั่วดำ, ถั่วเหลืองธัญพืชเต็มเมล็ด: ควินัว, ลูกเดือยปรับแค่ 3–4 อย่างนี้ในมื้อหลัก ก็ช่วยลดค่า PRAL และ NEAP ได้จริง “กรดในอาหาร” เป็นหนึ่งในปัจจัยซ่อนเร้นที่ เพิ่มการอักเสบ–น้ำหนัก–ความเสี่ยงโรคเรื้อรัง อาหารวีแกนไขมันต่ำ = ลดกรด + ลดน้ำหนัก งานวิจัยนี้แสดงว่าแค่ เปลี่ยนแหล่งโปรตีนและไขมัน ก็เปลี่ยนร่างกายได้ภายในไม่กี่สัปดาห์

Uncategorized

Tandem จับมือ Abbott ดันนวัตกรรม ‘Patch Pump + เซนเซอร์น้ำตาล’ ปฏิวัติวงการเบาหวาน

Tandem Diabetes Care ประกาศความร่วมมือกับ Abbott เพื่อรวมเครื่องปั๊มอินซูลิน t:slim X2 เข้ากับ Freestyle Libre 3 Plus — และในอนาคตกับ Glucose-Ketone Sensor ตัวใหม่ที่กำลังจะเปิดตัวในปีหน้า  จุดมุ่งหมาย: “ขยายโอกาสการใช้ insulin pump ไปสู่ผู้ป่วยเบาหวานทั้ง T1 และ T2 ที่ยังไม่เคยใช้มาก่อน”— Elizabeth Gasser, Chief Strategy & Product Officer, Tandem อัปเดตฟีเจอร์และทิศทางในอนาคตIntegration ล่าสุด:Freestyle Libre 3 Plus: กำลังอยู่ใน Early Access Launch เตรียมขยายผู้ใช้ครึ่งหลังปี 2025 Glucose-Ketone Sensor: คาดเปิดตัวปีหน้า Patch Pump รุ่นใหม่ Mobi Patch: เวอร์ชันไม่มีสายสำหรับปั๊มรุ่น Mobi (อยู่ระหว่างการทดสอบ design verification) Sigi: Patch pump แบบ tubeless เต็มตัว (จะตามมาในลำดับถัดไป) Gasser ชี้ว่า “Tubeless ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับรูปทรงเดิม ๆ”จุดเด่นคือถอดปั๊มได้โดย ไม่เสียอินซูลิน / ใช้งานได้นานกว่า / มีแบตชาร์จซ้ำ ลดขยะอิเล็กทรอนิกส์และมีพลังประมวลผลสูงพอรองรับ AID algorithm ขั้นสูง Fully Closed-Loop Tandem จับมือ University of Virginia Center for Diabetes Technology พัฒนา AID รุ่นถัดไปที่ ไม่ต้องคำนวณหรือกดอินซูลินเองเลย→ ทุกอย่าง “อัตโนมัติเต็มรูปแบบ” การแข่งขันเริ่มดุเดือด — แต่ Gasser มองว่า “สุดท้ายคือเรื่องดีของคนไข้”“มันไม่ใช่ one-size-fits-all… แต่ใครที่ลงทุนเร็ว วิ่งเร็ว เชื่อม ecosystem ได้ไวกว่า ก็ได้เปรียบ

Scroll to Top